มะเขือเทศ กินแล้วขาวจริงไหม ? และกินอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

 

น้ำมะเขือเทศ เป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณหลากหลาย และมีสารอาหารสำคัญมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ น้ำมะเขือเทศจึงกลายมาเป็นเครื่องดื่มที่คุณผู้หญิงทั้งหลายนิยมดื่มกันมาก 

นอกจากการบำรุงผิวแล้วยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกมากมาย โดยมีสารสำคัญ คือ "ไลโคปีน (lycopene)" ที่มีมากในมะเขือเทศ ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและจำเป็นในทุกช่วงอายุของคนเรา

5 Surprising Side Effects of Drinking Tomato Juice, Says Science — Eat This  Not That

วิธีรับประทานมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

ส่วนมากวิธีรับประทานผัก หากต้องการให้ได้แร่ธาตุ และวิตามินครบถ้วน ก็มักจะต้องรับประทานแบบดิบๆ แต่การรับประทานมะเขือเทศเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต้องทำให้สุกเสียก่อน 

เนื่องจากมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนแล้วจะทำให้สารไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศหลุดออกจากกันได้ง่าย ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ได้ดีกว่าแบบไม่ผ่านความร้อน อีกทั้งสารไลโคปีนนั้นสามารถละลายได้ดีในน้ำมัน 

ดังนั้นหากเราใช้น้ำมันในการปรุงมะเขือเทศจะยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนดียิ่งขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การรับประทานมะเขือเทศแบบสดๆ แล้วจะไม่ดี เพราะในมะเขือเทศสดก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน หากต้องการวิตามินซีสูงเพื่อช่วยบำรุงทำให้ผิวพรรณดี ควรรับประทานสด 

แต่ถ้าคุณต้องการให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนมากๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนมาแล้วจะดีกว่า

นอกจากนี้ ผู้หญิงทุกคนยังควรรับประทานมะเขือเทศสด เพราะจะทำให้ได้รับวิตามินซี และใยอาหารมาก ส่วนผู้ชายควรรับประทานมะเขือเทศสุกเพื่อให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนมากๆ ก็จะช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ 

Tomato Milk Drink

สารอาหารและให้พลังงาน

สารอาหารในมะเขือเทศ 100 กรัม

  • แคลอรี่ 18 กิโลแคลลอรี
  • น้ำ 95%
  • โปรตีน 0.9 กรัม
  • คาโบไฮเดรต  3.9 กรัม
  • น้ำตาล 2.6 กรัม
  • เส้นใยอาหาร 1.2 กรัม
  • ไขมัน 0.2 กรัม

ประโยชน์ของไลโคปีนในมะเขือเทศ

สารไลโคปีน (lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในผักผลไม้ที่มีสีส้ม สีแดง เช่น แครอท แตงโม มะละกอ ฟักข้าว เกรปฟรุต ซึ่งถือว่า เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้อย่างดีเยี่ยม 

มะเขือเทศสด 100 กรัม จะมีสารไลโคปีนประมาณ 0.9–9.30 มิลลิกรัม ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพ ดังนี้

  • การรับประทานไลโคปีนอย่างน้อย 30 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าซอสมะเขือเทศ 3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ เพราะในมะเขือเทศจะมีไฟเบอร์ และน้ำอยู่มากจึงช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้เป็นไปอย่างปกติ
    อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุด คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมาคือ มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งตับอ่อนได้อีกด้วย

  • ชะลอความแก่ ลดริ้วรอยแห่งวัย บำรุงผิวพรรณให้สดใส ชุ่มชื้น เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิซี วิตามินเอสูง แต่สำหรับผู้ที่มีริ้วรอยแล้วก็มีทางเลือกอื่นๆ

  • ช่วยบำรุงสายตา เพราะมีวิตามินเอสูง 

  • วิตามินซีที่สูงในมะเขือเทศช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด และเลือดออกตามไรฟัน 

  • ช่วยกำจัดไขมันเลว (Low-Density Lipoprotein: LDL) ทำให้ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือด

  • ช่วยควบคุม และลดระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าระดับน้ำตาลในเลือดของตนเองผิดปกติหรือไม่ การตรวจสุขภาพอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ 

  • ลดอาการบวมน้ำในร่างกาย ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเซลล์ และเนื้อเยื่อ

  • ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง 

  • บำรุงผมให้แข็งแรงเงางามมีสุขภาพดี

  • โฟเลตช่วยบำรุงเลือดจากภาวะเลือดจางจากสาเหตุขาดโฟเลต โดยเฉพาะในมารดาขณะตั้งครรภ์การได้รับโฟเลตเพิ่มขึ้นจะช่วยป้องกันโอกาสเสี่ยงคลอดเด็กตัวเล็กก่อนกำหนด และป้องกันการเกิดทารกที่มีปัญหาหลอดประสาทไม่ปิด (neural tube defects)แต่กำเนิดได้

  • ตามตำรายาไทยระบุสรรพคุณว่า 

  • ใบมะเขือเทศ ใช้รักษาหน้าเกรียมเนื่องจากถูกแดดเผา 

  • ผล ใช้เป็นยาระบาย ช่วยให้เจริญอาหาร แก้กระหายน้ำ แก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วยย่อยอาหาร และใช้ฟอกเลือด 

  • ราก ใช้รากสดมาต้มเอาน้ำดื่มเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันได้

วิธีดื่มน้ำมะเขือเทศอย่างไรให้ถูกต้อง และมีประโยชน์

Weight Loss: Drink This Tomato Cucumber Juice To Boost Weight Loss And  Immunity - NDTV Food

ถ้าอยากดื่มน้ำมะเขือเทศสดเพื่อให้ได้ประโยชน์มากสุดนั้น เราจำเป็นต้องกำหนดช่วงเวลาการดื่มเพื่อให้ร่างกายนำสารอาหารไปใช้งานได้ดีที่สุด สามารถแบ่งออกได้ 2 ช่วงเวลา ได้แก่

  • ดื่มก่อนรับประทานอาหาร หรือในช่วงท้องว่าง อาจจะหยดน้ำมันใส่เล็กน้อยลงไปเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
  • ดื่มหลังอาหารในทันที เพราะไขมันในอาหารจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดีมากขึ้น

ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมะเขือเทศ

มะเขือเทศมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นผู้ป่วยโรคไต หรือผู้มีโพแทสเซียมในเลือดสูง จึงไม่ควรรับประทานเลย ไม่ว่าจะแบบสด หรือปรุงสุก 

เพราะร่างกายผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกได้ไม่หมด นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อนก็ไม่ควรรับประทานมะเขือเทศมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้อาการแสบร้อนกลางอกหนักขึ้นได้

ควรดื่มน้ำมะเขือเทศเท่าไรจึงจะพอดี

ถ้าดื่มน้ำมะเขือเทศมากเกินไป ร่างกายจะได้รับวิตามินซีสูงเกินไปจนเกิดเป็นนิ่วได้ ส่วนการได้รับวิตามินเอมากเกินไป ก็อาจสะสมในร่างกายส่งผลให้เกิดอาการเบื่ออาหาร เจ็บกระดูก นอนไม่หลับ และท้องผูกได้ 

นอกจากนี้ การได้รับโพแทสเซียมปริมาณสูงอาจมีผลต่อการทำงานของหัวใจ ดังนั้นปริมาณการดื่มน้ำมะเขือเทศที่แนะนำต่อวันคือ ไม่ควรเกิน 2 แก้ว หรือ 2 กล่อง(เล็ก) ต่อวัน เพราะเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถขับโพแทสเซียมออกไปได้หมด

อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำมะเขือเทศแบบกล่องก็ยังต้องเลือกดื่มอย่างระมัดระวัง เพราะอาจมีการเติมโพแทสเซียมลงไป ดังนั้นควรดูตารางโภชนาการที่กล่องน้ำมะเขือเทศด้วย โดยควรเลือกชนิดที่มีโซเดียมต่ำ ไม่เช่นนั้นแล้วร่างกายอาจจะได้รับโซเดียมมากไป ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่นๆ ได้อีก

นอกเหนือจากมะเขือเทศแล้ว คุณควรรับประทานอาหารประเภทอื่นให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ด้วย รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นทำให้การขับถ่ายง่ายขึ้น และพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายจะได้แข็งแรงยิ่งขึ้น